วันที่ 15 พฤษภาคม 2551 เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 เปรียบเทียบผลการดำเนินงานสิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2550 เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ขอรายงานผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2551 เปรียบเทียบกับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550 ที่ปรากฏใน งบกำไรขาดทุนรวม ซึ่งได้นำเสนองบการเงินตามมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 35โดยสภาวิชาชีพบัญชีไทย ดังนี้ ผลการดำเนินงาน ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 มีกำไรสุทธิจำนวน 110.96 ล้านบาท หักปันส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 4.80 ล้านบาท เหลือเป็นกำไรสุทธิของบริษัทจำนวน 106.16 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 28.11 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ประกอบด้วย 1. รายได้จากการขายและการให้บริการ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 มีรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 71.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 หลังการปรับปรุงตกแต่งโรงแรมทุกแห่ง ในเครือแล้วเสร็จ ส่งผลให้มีรายได้จากกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้นซึ่งส่วนใหญ่มาจากโรงแรม 2 แห่งได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี มะนิลา ที่ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 39 ล้านบาทและโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ 16 ล้านบาท 2. รายได้ค่าบริหารงาน นับจากปี 2549 บริษัทมีนโยบายการดำเนินธุรกิจเชิงรุก โดยมุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่ รับบริหารให้มากขึ้น เพื่อสามารถลดค่าใช้จ่ายในอนาคต ในปี 2550 ได้ขยายฐานการรับบริหารทั้งในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้งวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทมีรายได้ค่าบริหารงาน เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2.21 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 ประกอบด้วยค่าบริการทางเทคนิค จากโครงการที่ New Cairo, Egypt ดิ เอธเฮเวน พังงา และ ดุสิตดีทู สมุย และค่ารับบริหารเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ที่ดูไบประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ ซึ่งเริ่มมีรายได้ตั้งแต่ สิงหาคม 2550 3. ดอกเบี้ยรับ บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยรับลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 3.17 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 70 เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยทยอยจ่ายคืนเงินกู้ และใช้เงินในการปรับปรุงตกแต่งโรงแรม ทำให้เหลือเงินฝากสถาบันการเงิน ลดลง ดอกเบี้ยรับจึงลดลง 4. ต้นทุนขายและการให้บริการ บริษัทและบริษัทย่อยมีต้นทุนขายและการให้บริการ จำนวน 428.13 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 46 ของ รายได้จากการขายและการให้บริการ ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีต้นทุนขายและการให้ บริการจำนวน 391.91 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 46 ของรายได้จากการขายและการให้บริการ 5. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร สืบเนื่องจากการสร้างเครื่องหมายการค้าใหม่ (Re-branding) เพื่อสร้างความชัดเจนในธุรกิจ รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานเพื่อรองรับการขยายกิจการในอนาคต ทำให้ในปี 2550 บริษัท และบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์เครื่องหมายการค้าใหม่ ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงและ พัฒนาระบบการจองห้องพักส่วนกลาง การลงทุนพัฒนา และการว่าจ้างบุคลากรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้มีค่าใช้จ่าย ต่างๆ ของบริษัท เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต จำกัด ซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนสอนทำอาหารที่จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 11 สิงหาคม 2549 และเปิดสอนตั้งแต่ สิงหาคม 2550 จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายใน การขายและบริหารจำนวน 244.27 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24 ของรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกัน ของปีก่อนจำนวน 39.59 ล้านบาท 6. ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หลังการปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในกลุ่มดุสิต กลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส แล้วเสร็จได้เริ่มทะยอยตัด ค่าเสื่อมราคาในงวดบัญชีนี้ ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าเสื่อมราคาสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 จำนวน 148.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 29.55 ล้านบาทคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 119.11 ล้านบาท 7. ดอกเบี้ยจ่าย บริษัทและบริษัทย่อยมีดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 19.65 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 5.24 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 21 รายการดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยจ่ายให้สถาบันการเงินสำหรับเงินกู้ยืมที่บริษัท และบริษัทย่อยกู้ยืมมา เพื่อปรับปรุงตกแต่งโรงแรม ในระหว่างปีที่ผ่านมาบริษัทและบริษัทย่อย มีการจ่ายคืน เงินกู้บางส่วน จึงทำให้มีดอกเบี้ยจ่ายลดลง ฐานะการเงิน งบดุลรวมของบริษัทและบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 สินทรัพย์รวม มีจำนวน 6,336.25 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 178.97 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากสินทรัพย์ ไม่หมุนเวียน คือที่ดิน อาคารและอุปกรณ์-สุทธิ ซึ่งมีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น และค่าเช่าที่ดินและอาคารจ่าย ล่วงหน้าส่วนที่เกินหนึ่งปี-สุทธิ มีการตัดจำหน่ายตามระยะเวลาเช่า จึงทำให้มูลค่าทรัพย์สินดังกล่าวลดลง ในขณะที่มีการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวในระหว่างงวด ทำให้หนี้สินรวม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จำนวน 2,125.68 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 275.80 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 คือ 0.54 ต่อ 1 นอกจากนี้บริษัทยังมี กำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรรจำนวน 1,327.53 ล้านบาท และมีมูลค่าตามบัญชี (Book Value) เท่ากับ 47 บาทต่อหุ้น คำอธิบายเพิ่มเติม ตามที่มีมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ และมาตรฐานการบัญชีที่มีการแก้ไขโดยสภาวิชาชีพบัญชีไทย มีผลบังคับใช้กับงบการเงินที่มีรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2551 ตามหมายเหตุ ประกอบงบการเงินข้อ 1.10 ผู้บริหารของบริษัทได้ประเมินและเห็นว่าการปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีไทย ดังกล่าวไม่มีผลกระทบอย่างป็นสาระสำคัญต่องบการเงินที่นำเสนอ เว้นแต่มาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 35 เรื่องการนำเสนองบการเงิน ซึ่งมีผลต่อการนำเสนองบการเงินในส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย และการเปิดเผย ข้อมูลอื่นตามที่ได้กล่าวไว้ในงบการเงินงวดสิ้นสุด 31 มีนาคม 2551 หมายเหตุข้อ 2 จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ (สินี เธียรประสิทธิ์) กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ