วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 เปรียบเทียบผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2549 เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ขอรายงานผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 เปรียบเทียบกับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุนรวม ดังนี้ ผลการดำเนินงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 บริษัทและบริษัทย่อยมีผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและ ภาษีเงินได้ จำนวน 259.88 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้จำนวน 366.15 ล้านบาท (ไม่รวมเงินชดเชยจากการยกเลิกสัญญาจำนวน 113.28 ล้านบาท) ลดลง 106.27 ล้านบาท หรือร้อยละ 29 เมื่อหักดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 87.53 ล้านบาท และภาษีเงินได้จำนวน 40.04 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหลังหักภาษีเงินได้จำนวน 132.31 ล้านบาท เมื่อหักกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 10.37 ล้านบาท ทำให้มีผลกำไรสุทธิจำนวน 121.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 5.87 ล้านบาท (ไม่รวมเงินชดเชยจากการยกเลิกสัญญาหลังหักภาษีเงินได้และกำไรสุทธิส่วนที่เป็น ของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.06 ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.44 บาทต่อหุ้น ประกอบด้วย 1. รายได้จากการขายและการให้บริการ กลุ่มโรงแรมที่อยู่ภายใต้ดุสิต และ กลุ่มโรงแรมที่อยู่ภายใต้รอยัล ปริ๊นเซส มีรายได้จากการขาย และการให้บริการจำนวน 3,026.37 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 177.65 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.24 2. รายได้ค่าบริหารโรงแรม บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ค่าบริหารโรงแรมจำนวน 118.77 ล้านบาทลดลงจากปีก่อนจำนวน 11.92 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.12 เนื่องจากโรงแรมในกลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส คือโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริหารโรงแรมก่อนกำหนด และทำสัญญาให้สิทธิดำเนินการโรงแรมภายใต้ชื่อ ?รอยัล ปริ๊นเซส? แทน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2549 ส่งผลให้รายได้ค่าบริหารงานสำหรับ ปี 2550 ลดลง แต่โดยรวมรายได้ค่าบริหารโรงแรมของกลุ่มดุสิตและกลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส ที่บริษัทและบริษัทย่อยเข้ารับบริหาร ดีขึ้น 3. ดอกเบี้ยรับ บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยรับลดลงจากปีก่อนจำนวน 5.56 ล้านบาท 4. อื่นๆ บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นๆ จำนวน 128.46 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 37.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41.16 ส่วนใหญ่เกิดจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ค่าบริการทางเทคนิค ค่าขายบัตรสมาชิก และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ ที่เกิดจากการปรับปรุง หนี้สินที่ไม่มีตัวตนออกจากบัญชี คือรายจ่ายระหว่างขั้นพัฒนาของบริษัทย่อยจำนวน 5.34 ล้านบาท และ เงินลงทุนในบริษัทย่อยที่ติดลบจำนวน 7.38 ล้านบาท 5. ต้นทุนขายและการให้บริการ บริษัทและบริษัทย่อยมีต้นทุนขายและการให้บริการ จำนวน 1,602.82 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.96 ของรายได้จากการขายและการให้บริการ ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีต้นทุนขายและการให้ บริการจำนวน 1,468.81 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 51.56 ของรายได้จากการขายและการให้บริการ 6. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 922.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 127.36 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.02 เกิดจากค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย การตลาด การปรับปรุงและพัฒนาระบบการจองห้องพักส่วนกลาง การปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์บริษัทใหม่ และการว่าจ้าง บุคลากร ทั้งนี้เพื่อการรองรับการขยายตัวของบริษัทและบริษัทย่อยในอนาคต ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในปี 2550 บริษัทได้ลงนามในสัญญารับจ้างบริหารโรงแรมในประเทศเพิ่ม 3 แห่งคือ 1. ดุสิตดีทูบาราคูด้า พัทยา 2. ดิ เอธเฮเวน พังงา 3. ดุสิตดีทู สมุย และในต่างประเทศเพิ่มอีก 5 แห่งคือ 1. Dusit Dubai Palm Jumeirah 2. Dusit Residence Marina, Dubai, 3. P-9 Abu Dhabi 4. Pearl Coast Premier Hotel Apartments managed by Dusit Residence 5. The Lake View, New Cairo, Egypt และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 12 แห่ง นอกจากนี้ บริษัท เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต จำกัด เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 กรกฏาคม 2550 ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 6.32 ล้านบาท 7. ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หลังการปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในกลุ่มดุสิต กลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส แล้วเสร็จบางส่วน และโรงแรมดีทู เชียงใหม่ เสร็จสิ้นแล้ว ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าเสื่อมราคาสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 520.24 ล้านบาท สำหรับปีก่อนมีจำนวน 475.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 44.80 ล้านบาทหรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.42 8. ดอกเบี้ยจ่าย บริษัทและบริษัทย่อยมีดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 87.53 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 5.91 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.25 รายการดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยจ่ายให้สถาบันการเงินสำหรับเงินกู้ยืมที่บริษัทและบริษัทย่อย กู้ยืมมา เพื่อปรับปรุงตกแต่งโรงแรม ฐานะการเงิน งบดุลรวมของบริษัทและบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 สินทรัพย์รวม มีจำนวน 6,515.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 209.27 ล้านบาท ในขณะที่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีหนี้สินรวมจำนวน 2,401.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 177.81 ล้านบาท คำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นได้ 0.62 ต่อ 1 นอกจากนี้บริษัทยังมี กำไรสะสม ที่ยังไม่จัดสรรจำนวน 1,221.36 ล้านบาท และมีมูลค่าตามบัญชี (Book Value) เท่ากับ 45.86 บาทต่อหุ้น คำอธิบายเพิ่มเติม ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีเงินลงทุน บริษัทได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบันทึกบัญชีของเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมในงบการเงิน เฉพาะบริษัทจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 44 โดยบริษัทได้ปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินที่แสดงเปรียบเทียบด้วย ทั้งนี้ เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมที่แสดงอยู่ในงบการเงินเฉพาะกิจการนั้นบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิม (Historical Cost) เป็นราคาทุนเริ่มต้น และรายได้จากเงินลงทุนจะรับรู้เมื่อบริษัทย่อยและบริษัทร่วม มีการประกาศจ่ายเงินปันผล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะกิจการ ไม่เท่ากับกำไรสุทธิในงบการเงินรวม โดยในปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 121.94 ล้านบาท แต่งบการเงินเฉพาะกิจการ มีกำไรสุทธิ 281.87 ล้านบาท และบริษัทขอชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีดังกล่าว ทำให้งบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 แสดงกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 159.93 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.89 บาทต่อหุ้น) และ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2549 กำไรสุทธิลดลงจำนวน 150.42 ล้านบาท (ลดลง 1.82 บาทต่อหุ้น) เนื่องจากงบการเงินเฉพาะกิจการไม่ได้รวมรายการส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนซึ่งบันทึกโดย วิธีส่วนได้เสีย แต่รับรู้รายได้เงินปันผลจากบริษัทย่อย 2. ผลกระทบต่อรายการอื่นในงบการเงินเฉพาะกิจการ ได้แก่ เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม รายการที่เกี่ยวข้อง อื่นๆ และกำไรสะสมที่แสดงไว้ในงบดุล ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 ลดลงสุทธิ 1,016.90 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงหลักการบัญชีนี้ได้แสดงไว้ใน ?ผลสะสมของการ เปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี? ในงบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้นเฉพาะกิจการ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีดังกล่าวส่งผลต่อการแสดงรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดทำง บการเงินรวมและปัจจัยพื้นฐานของการทำธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (สินี เธียรประสิทธิ์) กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ