14 สิงหาคม 2550
รายงานผลการดำเนินงานสิ้นสุด30มิ.ย.2550เปรียบเทียบ30มิ.ย.2549
วันที่ 14 สิงหาคม 2550
เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550
เปรียบเทียบผลการดำเนินงานสิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2549
เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ขอรายงานผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนและ
หกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 เปรียบเทียบกับงวดสามเดือนและหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30
มิถุนายน 2549 ที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุนรวม ดังนี้
ตามมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 44 (ปรับปรุง พ.ศ. 2550) เรื่องงบการเงินรวมและงบการเงิน
เฉพาะกิจการ และฉบับที่ 45 (ปรับปรุง พ.ศ. 2550) เรื่องเงินลงทุนในบริษัทร่วม กำหนดให้เปลี่ยน
วิธีการบัญชีจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมที่แสดงไว้
ในงบการเงินเฉพาะบริษัท ตามวิธีราคาทุน รายได้จากเงินลงทุนจะรับรู้เมื่อมีการประกาศจ่ายเงินปันผล
ประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป นโยบายการบัญชีดังกล่าวมี
ผลกระทบต่อรายการในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น และไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดทำงบการเงินรวม
ในการปรับเปลี่ยนมาตรฐานดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีขาดทุนสะสมตามงบการเงินเฉพาะบริษัท
ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 จำนวน 94.2 ล้านบาท อย่างไรก็ตามที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2550
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2550 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้โอนกำไรสะสมที่จัดสรรแล้ว คือ สำรองอื่น
จำนวน 310 ล้านบาท มาให้เป็นกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรรโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 โดย
ปฏิบัติตามมาตรา 119 ในพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งทำให้บริษัทไม่มีผลขาดทุน
สะสมอีกต่อไป และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามปกติ
ผลการดำเนินงาน
สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิ
จำนวน 44.0 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อนจำนวน 20.7 ล้านบาท
สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย
จ่ายและภาษีเงินได้จำนวน 175.6 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 44.8 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 20 เมื่อหักดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 46.1 ล้านบาท และภาษีเงินได้จำนวน 32.9 ล้านบาท
คิดเป็นกำไรหลังหักภาษีเงินได้จำนวน 96.6 ล้านบาท เมื่อหักกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
จำนวน 6.3 ล้านบาท ทำให้มีผลกำไรสุทธิจำนวน 90.3 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน
จำนวน 15.8 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 15 ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.07 บาทต่อหุ้น ประกอบด้วย
1. รายได้จากการขายและการให้บริการ
กลุ่มโรงแรมที่อยู่ภายใต้ดุสิต และ กลุ่มโรงแรมที่อยู่ภายใต้รอยัล ปริ๊นเซส มีรายได้จากการขาย
และการให้บริการเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 26.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2
2. รายได้ค่าบริหารโรงแรม
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ค่าบริหารโรงแรมลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 12.7
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 เนื่องจากโรงแรมในกลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส คือโรงแรมปทุมวัน
ปริ๊นเซส ได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริหารโรงแรมก่อนกำหนด และทำสัญญาให้สิทธิดำเนินการโรงแรม
ภายใต้ชื่อ ?รอยัล ปริ๊นเซส? แทน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2549 ส่งผลให้รายได้ค่าบริหารงานสำหรับงวด
นี้ลดลง แต่โดยรวมรายได้ค่าบริหารโรงแรมของกลุ่มดุสิตและกลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส ที่บริษัทและ
บริษัทย่อยเข้ารับบริหารดีขึ้น
3. ดอกเบี้ยรับ
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย
4. อื่นๆ
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 23.9 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 57 ส่วนใหญ่เกิดจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ค่าบริการทางเทคนิค ค่าขายบัตร
สมาชิก และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ ที่เกิดจากการปรับปรุง
หนี้สินที่ไม่มีตัวตนออกจากบัญชี คือรายจ่ายระหว่างขั้นพัฒนาของบริษัทย่อยจำนวน 5.3 ล้านบาท และ
เงินลงทุนในบริษัทย่อยที่ติดลบจำนวน 7.4 ล้านบาท
5. ต้นทุนขายและการให้บริการ
บริษัทและบริษัทย่อยมีต้นทุนขายและการให้บริการ จำนวน 763.1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52
ของรายได้จากการขายและการให้บริการ ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีต้นทุนขาย
และการให้บริการจำนวน 713.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50 ของรายได้จากการขายและการให้บริการ
6. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 415.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
26 ของรายได้รวม ส่วนปีก่อนมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 382.0 ล้านบาท คิดเป็น
ร้อยละ 25 ของรายได้รวม ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน
จำนวน 33.8 ล้านบาท
สาเหตุใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายและการตลาดเพิ่มขึ้นจำนวน 4.5 ล้านบาท
และการว่าจ้างบุคลากรเพิ่มขึ้นจำนวน 28.4 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัทและบริษัท
ย่อยในอนาคต นอกจากนี้ มีค่าใช้จ่ายของบริษัท เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11
สิงหาคม 2549 จำนวน 2.8 ล้านบาท
7. ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
หลังการปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในกลุ่มดุสิต กลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส แล้วเสร็จบางส่วน และ
โรงแรมดีทู เชียงใหม่ ส่วนใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าเสื่อมราคาสำหรับงวด
หกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 จำนวน 242.5 ล้านบาท สำหรับงวดเดียวกันของปีก่อนมีจำนวน
239.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 3.4 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1
8. ดอกเบี้ยจ่าย
บริษัทและบริษัทย่อยมีดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 46.1 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 11.9 ล้านบาท
รายการดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยจ่ายให้สถาบันการเงินสำหรับเงินกู้ยืมที่บริษัทและบริษัทย่อยกู้ยืมมา เพื่อ
ปรับปรุงตกแต่งโรงแรม
ฐานะการเงิน
งบดุลรวมของบริษัทและบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 สินทรัพย์รวม มีจำนวน 6,060.1
ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 247.3 ล้านบาท ในขณะที่ ณ วันที่ 30 มิถุนายน
2550 มีหนี้สินรวมจำนวน 2,022.6 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 202.4 ล้าน
บาท คำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นได้ 0.53 ต่อ 1 นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรสะสม
ที่ยังไม่จัดสรรจำนวน 1,232.2 ล้านบาท และมีมูลค่าตามบัญชี (Book Value) เท่ากับ 44.98 บาทต่อหุ้น
คำอธิบายเพิ่มเติม
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีเงินลงทุน
บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบันทึกบัญชีของเงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงิน
เฉพาะบริษัทจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนตั้งแต่งวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550 เพื่อให้
เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 44 โดยบริษัทได้ปรับปรุงย้อนหลัง
งบการเงินที่แสดงเปรียบเทียบด้วย ทั้งนี้ เงินลงทุนในบริษัทย่อยที่แสดงอยู่ในงบการเงินเฉพาะบริษัท
นั้นบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิม (Historical Cost) เป็นราคาทุนเริ่มต้น และรายได้จากเงินลงทุนจะรับรู้
เมื่อบริษัทย่อยและบริษัทร่วมมีการประกาศจ่ายเงินปันผล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิ
ในงบการเงินเฉพาะบริษัทไม่เท่ากับกำไรสุทธิในงบการเงินรวม โดยในงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน
2550 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 90.3 ล้านบาท แต่งบการเงินเฉพาะบริษัท มีกำไรสุทธิ 215.2 ล้านบาท
และบริษัทขอชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีดังกล่าว ทำให้งบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับงวดหกเดือน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 และ 2549 แสดงกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 125.0 ล้านบาท
และ 93.0 ล้านบาท ตามลำดับ (เพิ่มขึ้น 1.47 บาทต่อหุ้น และ 1.13 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ
เนื่องจากงบการเงินเฉพาะบริษัทไม่ได้รวมรายการส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนซึ่งบันทึกโดย
วิธีส่วนได้เสีย แต่รับรู้รายได้เงินปันผลจากบริษัทย่อย
2. ผลกระทบต่อรายการอื่นในงบการเงินเฉพาะบริษัท ได้แก่ เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม
รายการที่เกี่ยวข้อง อื่นๆ และกำไรสะสมที่แสดงไว้ในงบดุล ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 ลดลง
สุทธิ 1,016.9 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงหลักการบัญชีนี้ได้แสดงไว้ใน
?ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี? ในงบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น
เฉพาะบริษัท
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีดังกล่าวส่งผลต่อการแสดงรายการบัญชีที่
เกี่ยวข้องกับเงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดทำ
งบการเงินรวมและปัจจัยพื้นฐานของการทำธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
(สินี เธียรประสิทธิ์)
กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ