15 May 2007
รายงานผลการดำเนินงาน31มี.ค2550เปรียบเทียบ2549
วันที่ 15 พฤษภาคม 2550
เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550
เปรียบเทียบผลการดำเนินงานสิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2549
เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป บริษัทปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 44
(ปรับปรุง พ.ศ. 2550) เรื่องงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ ฉบับที่ 45 (ปรับปรุง พ.ศ. 2550)
เรื่องเงินลงทุนในบริษัทร่วม โดยกำหนดให้เปลี่ยนวิธีการบัญชีจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุน
สำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมที่แสดงไว้ในงบการเงินเฉพาะบริษัท ตามวิธีราคาทุน
รายได้จากเงินลงทุนจะรับรู้เมื่อมีการประกาศจ่ายเงินปันผล ประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2550 เป็นต้นไป นโยบายการบัญชีดังกล่าวมีผลกระทบต่อรายการในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น
และไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดทำงบการเงินรวม ในการปรับเปลี่ยนมาตรฐานครั้งแรกจะส่งผลให้บริษัท
มีขาดทุนสะสมตามงบการเงินเฉพาะบริษัท ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 จำนวน 94.24 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2550 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2550 ได้อนุมัติให้นำกำไรสะสมที่จัดสรรแล้ว
- สำรองอื่นจำนวน 310.00 ล้านบาท มาชดเชยผลการขาดทุนสะสมดังกล่าว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550
โดยปฏิบัติตามมาตรา 119 ในพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535
ซึ่งจะทำให้บริษัทไม่มีผลขาดทุนสะสมอีกต่อไป และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามปกติ
ผลการดำเนินงาน
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550
มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้จำนวน 208.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อนจำนวน
0.13 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.06 เมื่อหักดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 24.90 ล้านบาท และภาษีเงินได้จำนวน 43.94
ล้านบาท คิดเป็นกำไรหลังหักภาษีเงินได้จำนวน 140.12 ล้านบาท เมื่อหักกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
จำนวน 5.85 ล้านบาท ทำให้มีผลกำไรสุทธิจำนวน 134.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อน
จำนวน 4.82 ล้านบาทคิดเป็น ร้อยละ 3.72 ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.59 บาทต่อหุ้น ประกอบด้วย
1. รายได้จากการขายและการให้บริการ
กลุ่มโรงแรมที่อยู่ภายใต้ดุสิต และ กลุ่มโรงแรมที่อยู่ภายใต้รอยัล ปริ๊นเซส มีรายได้จากการขาย
และการให้บริการเพิ่มขึ้นจากงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อนจำนวน 37.82 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.62
2. รายได้ค่าบริหารโรงแรม
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ค่าบริหารโรงแรมลดลงจากงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2.92 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 6.70 เนื่องจากรายได้ของโรงแรมกลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส คือโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส
ได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริหารโรงแรมก่อนกำหนด และทำสัญญาให้สิทธิดำเนินการโรงแรมภายใต้ชื่อ "รอยัล ปริ๊นเซส"
แทน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2549 ส่งผลให้รายได้ลดลง แต่โดยรวมรายได้ค่าบริหารโรงแรมของกลุ่มดุสิต
และกลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส ที่บริษัทและบริษัทย่อยเข้ารับบริหารดีขึ้น
3. ดอกเบี้ยรับ
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้นจากงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อนจำนวน 3.20 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยมีผลประกอบการดีขึ้น และใช้เงินในการปรับปรุงตกแต่งโรงแรม ลดลง ทำให้เหลือ
เงินฝากธนาคารเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยรับจึงเพิ่มขึ้น
4. ต้นทุนขายและการให้บริการ
บริษัทและบริษัทย่อยมีต้นทุนขายและการให้บริการ จำนวน 391.91 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.79
ของรายได้จากการขายและการให้บริการ ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อน
ที่มีต้นทุนขายและการให้บริการจำนวน 370.77 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.33 ของรายได้จากการขาย
และการให้บริการ
5. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 204.68 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.11
ของรายได้รวม ส่วนปีก่อนมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 189.89 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.42
ของรายได้รวม ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้นจากงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อนจำนวน 14.79
ล้านบาท
สาเหตุใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายและการตลาดเพิ่มขึ้นจำนวน 4.95 ล้านบาท
และว่าจ้างบุคลากรเพิ่มขึ้นจำนวน 6.74 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคตของบริษัทและบริษัทย่อย
นอกจากนี้ มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ของบริษัท เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต จำกัด ชึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2549
จำนวน 1.43 ล้านบาท
6. ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
หลังการปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในกลุ่มดุสิต กลุ่มรอยัล ปริ๊นเซส แล้วเสร็จบางส่วน และโรงแรมดีทู เชียงใหม่
ส่วนใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีค่าเสื่อมราคาสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550
จำนวน 119.11 ล้านบาทใกล้เคียงกับงวดสามเดือนเดียวกันของปีก่อนจำนวน 116.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 3.03
ล้านบาทคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.61
7. ดอกเบี้ยจ่าย
บริษัทและบริษัทย่อยมีดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 24.90 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 11.82 ล้านบาท
รายการดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยจ่ายให้สถาบันการเงินสำหรับเงินกู้ยืมที่บริษัทและบริษัทย่อยกู้ยืมมา เพื่อปรับปรุง
ตกแต่งโรงแรม
ฐานะการเงิน
งบดุลรวมของบริษัทและบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 สินทรัพย์รวม มีจำนวน 6,338.02 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 30.70 ล้านบาท ในขณะที่หนี้สินมีกู้ยืมเงินลดลง ทำให้มีหนี้สินรวม ณ
วันที่ 31 มีนาคม 2550 จำนวน 2,133.88 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 91.15
ล้านบาท คำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นได้ 0.54 ต่อ 1 นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร
จำนวน 1,361.20 ล้านบาท และมีมูลค่าตามบัญชี (Book Value) เท่ากับ 46.34 บาทต่อหุ้น
คำอธิบายเพิ่มเติม
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีเงินลงทุน
บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบันทึกบัญชีของเงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะบริษัท
จากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่
ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 44 โดยบริษัทได้ปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินที่แสดงเปรียบเทียบด้วย ทั้งนี้
เงินลงทุนในบริษัทย่อยที่แสดงอยู่ในงบการเงินเฉพาะบริษัทนั้นบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิม (Historical Cost)
เป็นราคาทุนเริ่มต้น และรายได้จากเงินลงทุนจะรับรู้เมื่อบริษัทย่อยและบริษัทร่วมมีการประกาศจ่ายเงินปันผล
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะบริษัทไม่เท่ากับกำไรสุทธิในงบการเงินรวม
โดยในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2550 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 134.27 ล้านบาท
แต่งบการเงินเฉพาะบริษัท มีกำไรสุทธิ 98.85 ล้านบาท และบริษัทขอชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีดังกล่าว ทำให้งบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่
31 มีนาคม 2550 และ 2549 แสดงกำไรสุทธิลดลงจำนวน 35.43 ล้านบาท และ 44.41 ล้านบาท ตามลำดับ
(ลดลง 0.42 บาทต่อหุ้น และ 0.54 บาทต่อหุ้น ตามลำดับเนื่องจากงบการเงินเฉพาะบริษัท
ไม่ได้รวมรายการส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสีย
2. ผลกระทบต่อรายการอื่นในงบการเงินเฉพาะบริษัทสำหรับงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม2550 ได้แก่
เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม รายการที่เกี่ยวข้อง อื่นๆ และกำไรสะสมที่แสดงไว้ในงบดุลลดลงสุทธิ
1,016.90 ล้านบาททั้งนี้ ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงหลักการบัญชีนี้ได้แสดงไว้ใน
"ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี" ในงบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้นเฉพาะบริษัท
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีดังกล่าวส่งผลต่อการแสดงรายการบัญชีที่เกี่ยวข้อง
กับเงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดทำงบการเงินรวม
และปัจจัยพื้นฐานการทำธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(สินี เธียรประสิทธิ์)
กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ